20 วิธีการเลี้ยงลูกให้สมองทำงานดี
1.กินอาหารที่ดี พักผ่อนให้มาก ๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
สร้างสุขอนามัยที่ดีให้ลูก
- เลือกอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด
- ดื่มน้ำให้มาก
- นอนหลับให้เพียงพอ
“สมอง” ประกอบด้วยน้ำถึง 85% และต้องการออกซิเจนมากถึง 20% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกายจึงจะสามารถทำงานได้ดี ดังนั้น น้ำ และออกซิเจนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อสมอง พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกดื่มน้ำให้มาก นอกจากนั้น ควรปลูกฝังนิสัยการรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด และฝึกให้ลูกเข้านอนตรงเวลา และนอนหลับไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง ลูกก็พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้หลากหลาย
สุขอนามัยที่ดีจึงเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดีอย่างปฏิเสธไม่ได้ค่ะ
2.ลงมือทำเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส
เมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบกับประสาทสัมผัสของลูก จะเกิดเป็นกระแสประสาทวิ่งไปสู่สมอง สมองจะรับรู้ข้อมูล และส่งข้อมูลไปยังอวัยวะที่เกี่ยวข้องโดยผ่านเส้นใยสมองที่ทำหน้าที่รับ และส่งข้อมูล เมื่อลูกได้รับการกระตุ้นประสาทสัมผัสด้วยวิธีการที่เหมาะสมจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทในปริมาณที่พอเหมาะ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สมองลูกมีเส้นใยสมอง และจุดเชื่อมต่อมากเท่าไร ลูกก็จะยิ่งฉลาด และมีความสามารถสูงขึ้นเท่านั้น
ปริมาณจุดเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทเหล่านี้เป็นรากฐานของการรู้คิด และทำความเข้าใจข้อมูลต่างๆทั้งในห้องเรียน และชีวิตประจำวันของลูกในระยะยาวค่ะ
3.นิทานและหนังสือที่หลากหลายให้กับลูก
“นิทาน” เป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็ ก อะไรก็เป็นจริงได้ในนิทาน ทำให้เด็กได้รับการส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดจินตนาการ ฝึกทักษะการฟัง ยิ่งเป็นนิทานคำกลอนด้วยแล้ วเด็กเล็กจะชอบฟังเป็นพิเศษ เพราะ มีเสียงคล้องจองกันสนุกสนาน นิทานยังช่วยสร้างคลังคำอัน เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ภ าษาให้แก่เด็ก นอกจากนั้น คุณพ่อ คุณแม่ยังสามารถปลูกฝังจริย ธรรมผ่านนิทานได้ด้วย
การโอบกอด สัมผัสที่อบอุ่น และแน่นแฟ้น เป็นการยืนยันให้ลูกรู้ว่าเ ขามีค่ากับพ่อแม่มากเพียงใด และเขามีที่พึ่งเป็นพ่อแม่เ สมอไม่ว่าเขาจะต้องเจอกับอะ ไรก็ตาม
การโอบกอด สัมผัสที่อบอุ่น และแน่นแฟ้น เป็นการยืนยันให้ลูกรู้ว่าเ
4.เล่นสี ชั่วโมงศิลปะ
ศิลปะคือการเล่นที่มีเส้น และสีเป็นพื้นฐาน การทำงานศิลปะสร้างประสบการ ณ์ใหม่ๆให้เด็กเสมอ ในเด็กอายุ 2 - 3 ปีควรเริ่มเล่นสีจากการระบา ยสีน้ำแบบ Wet on Wet เพราะ เด็กจะรู้สึกสงบจากภายในเมื ่อได้เฝ้าดูสีต่างๆที่ไหลรว มกัน แล้วจึงเขยิบเปลี่ยนเป็นสีเ ทียนแท่งอ้วนๆ และสีไม้แท่งใหญ่ที่จับถนัด มือ การฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก จะส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ ้น การทำงานศิลปะยังเป็นการสร้ างสมาธิ ความจดจ่อ มือตาสัมพันธ์ และทำให้เด็กเรียนรู้ความสุ ขที่มาจากภายในตัวเองด้วยค่ ะ
5.ดนตรีและการเคลื่อนไหว
มีงานวิจัยที่พบว่าเสียงดนต รีสามารถเพิ่มความคิดที่เป็ นเหตุเป็นผลได้ นอกจากนั้น ดนตรียังใช้พัฒนาสมองซีกขวา ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมอ งภาพรวมได้ดี กิจกรรมดนตรี และการเคลื่อนไหวง่ายๆที่พ่ อแม่สามารถทำกับลูกได้ เช่น ร้องเพลงกับลูก ช่วยกันคิดท่าทางประกอบเพลง แต่งเพลงง่ายๆร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างคว ามสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวท ี่จะประทับอยู่ในความทรงจำข องเด็กตลอดไป
เน้นเป็นกิจกรรมเคลื่อนไหว จังหวะ การร้อง และกิจกรรมทางดนตรีก่อนนะคะ ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเรียนเครื่องดนตรีใดเครื่องดนตรีหนึ่งแบบเจาะจงลงไป และเปียโนควรเรียนเมื่อหกขวบขึ้นไปค่ะ เพราะ กล้ามเนื้อนิ้วจะพร้อมค่ะ
6.เล่นกีฬาและออกกำลังกาย
ความสามารถในการใช้กล้ามเนื ้อมัดใหญ่ และมัดเล็กมีผลโดยตรงต่อพัฒ นาการทางสมอง เด็กที่มีโอกาสใช้กล้ามเนื้ อต่างๆในร่างกายอย่างเหมาะส ม และหลากหลายจะช่วยให้มีพัฒน าการที่ดี นอกจากนั้น กีฬา และการออกกำลังกายยังช่วยเส ริมสร้างสมาธิ วินัย และความภาคภูมิใจในตัวเอง สำหรับเด็กบางคนอาจชอบกีฬาน ั้นมากจนสามารถพัฒนาเป็นอาช ีพต่อไปได้
7.ทำอาหารด้วยกัน
การทำอาหารเป็นกิจกรรมที่ต้ องใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ครบถ้วน ได้แก่ ตามองดูอาหารว่าเกิดการเปลี ่ยนแปลงอะไรบ้าง จมูกรับรู้กลิ่น ลิ้นลิ้มชิมรสชาติ หูต้องคอยฟังเสียงในการทอด ผัด อบว่าอาหารสุกได้ที่หรือยัง และมือต้องจับวัตถุดิบที่หล ากหลายทั้งแป้ง น้ำตาล กะทิ และส่วนผสมอื่นๆ ทำให้ประสาทสัมผัสได้รับการ กระตุ้นอย่างครบถ้วน นอกจากนั้น ลูกยังได้เรียนรู้คณิตศาสตร ์ และวิทยาศาสตร์ไปในคราวเดีย วกันผ่านกิจกรรมทำอาหารง่าย ๆแบบนี้ ในเด็กบางคนที่รับประทานอาห ารยากก็มีแรงจูงใจมากพอที่จ ะชิมฝีมือตัวเองจนหมดจาน และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเ องด้วยค่ะ
8.ปลูกผักไว้กินเอง
สิ่งที่ได้มากกว่าการเฝ้าดู ความเติบโตของเมล็ดผักที่เร าเอาลงดินไป คือ ความรับผิดชอบในหน้าที่ ทุกวันลูกจะต้องรดน้ำต้นไม้ ตรวจตราดูว่ามีศัตรูพืชหรือ วัชพืชใดๆหรือไม่ ถึงเวลาที่ต้องใส่ปุ๋ย พรวนดินหรือยัง และเมื่อเก็บเกี่ยวได้แล้วก ็นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของผ ู้ปลูก และผู้ดูแลแปลงผักนี้อย่างไ ม่ต้องสงสัยเลยค่ะ
9.ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ
แท้จริงแล้ว มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรม ชาติ เมื่อร่างกายถูกโอบล้อมด้วย ธรรมชาติจะทำให้เกิดความสุข สงบขึ้นมาจากภายใน ลูกจะรับรู้ได้ถึงความสุขจา กความเรียบง่าย เมื่อปลูกฝังไปนานๆเด็กที่เ ข้าใจธรรมชาติจะเข้าใจชีวิต ด้วย เข้าใจว่า “ไม่มีอะไรแน่นอน” และความไม่แน่นอนนี้เป็นเรื ่องธรรมดา ซึ่งเป็นพัฒนาการทางปัญญา จิตใจ และทักษะชีวิตที่ดีค่ะ
10.เล่มบทบาทสมมติ
เล่นสมมติเป็นกิจกรรมที่เอื ้อให้เด็กได้ใช้จินตนาการเป ็นอย่างมาก ทำให้สมองได้คิดเชื่อมโยงจา กสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ ่งได้ เล่นสมมติเป็นจุดเริ่มต้นขอ งความเป็นไปได้ช่วยให้เด็กก ารริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆโดยไม่ มีคำว่าอุปสรรคเข้ามายุ่งเก ี่ยว เวลาที่ลูกเล่นสมมติอย่างเพ ลิดเพลินอยู่นั้น คุณพ่อ คุณแม่ควรเฝ้าดูห่างๆไม่ควร เข้าไปแทรกแซงการเล่น เพราะช่วงเวลานี้เองที่สมอง กำลังเกิดการเชื่อมโยงเป็นอ ย่างมาก และลูกกำลังอยู่ในโลกที่เขา สร้างขึ้นเอง ปรากฏการณ์นี้มีเวลาไม่ถึงส ิบปีในชีวิตที่ลูกจะมีโลกแบ บที่เขาต้องการจะให้เป็นได้ อย่างสนิทใจ
11.เล่นเพื่อการคิด
“สมองมนุษย์มีศักยภาพในการเ รียนรู้สูงสุดเมื่อผู้เรียน เรียนรู้อย่างมีความสุข ในสมองจะมีการหลั่งสารเคมีท ี่ทำให้เกิดความสุข และจะไปเพิ่มประสิทธิภาพในก ารเรียนรู้ให้สูงขึ้น”
เป็นที่ยอมรับในระดับสากลถึ งความทรงอิทธิพลของการเล่นว ่ามีผลต่อพัฒนาการด้านร่างก าย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา “การเล่น” จึงถูกเชื่อมโยงเข้าสู่งานด ้านการศึกษาปฐมวัย รวมถึงจิตวิทยาเด็ก และครอบครัวทั้งในแง่การส่ง เสริม ป้องกัน บำบัด และฟื้นฟู ภายใต้แนวคิด “Play during early childhood is necessary if humans are to reach their full potential” การเล่นในช่วงปฐมวัยมีความส ำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนามน ุษย์คนหนึ่งสู่ให้เป็นมนุษย ์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และปัญญา
พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงของเล่น สำเร็จรูปที่ของเล่นชิ้นนั้ นเล่นด้วยกลไกของมันเอง ลูกเพียงแต่เฝ้าดูกลไก ไม่เกิดการลงมือทำ เพราะ การลงมือทำเป็นประสบการณ์ที ่เกิดจากการกระทำของตนเองจะ ทำให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะต่ างๆมากกว่าการเล่นของเล่นสำ เร็จรูปที่ลูกแทบไม่ได้ลงมื อทำอะไรเลย
เป็นที่ยอมรับในระดับสากลถึ
พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงของเล่น
12.ทำงานบ้านและรับผิดชอบหน้าที่ตนเอง
เป็นความรับผิดชอบ และวินัยที่ลูกพึงมี เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองได้ด ีในหน้าที่ของตนจะเป็นเด็กท ี่มีเป้าหมายในการทำสิ่งต่า งๆ พึ่งพาตัวเองได้มาก นอกจากนั้น ยังเป็นการปลูกฝังจิตสาธารณ ะโดยเริ่มจากครอบครัว พ่อแม่ควรพูดกับลูกว่า "บ้านของเราที่เราอยู่รวมกั นนี้เป็นของทุกคน จึงต้องช่วยกันดูแล รักษาความสะอาด ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนห นึ่งเท่านั้น"
พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกมีห น้าที่ประจำของตัวเองตามควา มสามารถ เช่น กรอกน้ำใส่ขวด เอาขยะไปทิ้ง รดน้ำต้นไม้ เก็บจาน เช็ดโต๊ะอาหาร เป็นต้น
พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกมีห
13.แก้ปัญหาด้วยตนเองบ้าง
พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกได้แก้ปั ญหาต่างๆด้วยตัวเองบ้าง เด็กที่เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้ด้วยตัวเองจะไม่ย่อท้อต่ อปัญหา รู้จักใช้สมองส่วนหน้าที่เก ี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ได้ แก้ปัญหาเป็น และสื่อสารความคิดของตนเองใ ห้ผู้อื่นเข้าใจได้ ลูกจะเรียนรู้ "การพึ่งตนเอง" เมื่อวันหนึ่งที่เขาต้องเผช ิญโลกนี้คนเดียวเขาจะก้าวผ่ านอุปสรรคต่างๆไปได้ นอกจากนั้น ลูกยังได้เรียนรู้ความแตกต่ างของผู้คน และรู้จักปรับตัวให้ดำเนินช ีวิตได้อย่างมีความสุขซึ่งเ ป็นทักษะชีวิตที่สำคัญมากต่ อไปค่ะ
14.สอนให้มีจิตสาธารณะ
จิตสาธารณะเป็นเรื่องที่อาศ ัยเวลาในการบ่มเพาะกว่าจะงอ กเงยในเด็กคนหนึ่งอาจใช้เวล าหลายปี แต่เชื่อเถอะค่ะว่า "Children See, Children Do : เด็กเห็นอย่างไรก็ทำอย่างนั ้น" นักทฤษฏีการเรียนรู้ทางสังค ม (Social Cognitive Learning Theory) ชื่อ Albert Bandura ได้กล่าวไว้ว่า ตัวแบบ (modeling) และ การลอกเลียนแบบ (imitation) มีผลต่อการเรียนรู้ กล่าวคือ คนเรียนรู้ได้จาการดูหรือสั งเกตด้วยความตั้งใจ (attention) ทำให้เห็นภาพ กระบวนการจดจำ (Retention) วิเคราะห์ และตัดสินใจแสดงพฤติกรรมเหม ือนตัวอย่าง (Reproduction) สรุปสั้นๆว่า ถ้าพ่อแม่ซึ่งเป็นตัวแบบ (Modeling) ได้ลงมือทำสิ่งที่ดีให้ลูกเ ห็นย่อมทำให้ลูกเกิดแรงจูงใ จที่จะทำให้เกิดการทำพฤติกร รมนั้น ซึ่งครูปุ๊กคิดว่า "Children See, Children Do" นี้เป็นไปในทุกเรื่องไม่ใช่ แค่เรื่องจิตสาธาณะเท่านั้น นะคะ
15.สนับสนุนสิ่งที่สนใจ
เด็กมีความสนใจที่หลากหลาย และมักมีคำถามมาให้พ่อแม่ช่ วยหาคำตอบให้เสมอ พ่อแม่ไม่ควรปล่อยโอกาสที่ล ูกกำลังมีความกระหายใคร่รู้ อย่างเต็มที่ผ่านไปเฉยๆ เพราะ ลูกกำลังมีแรงจูงใจในการเรี ยนรู้สิ่งใหม่ๆ และสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้ล ูกมีความรู้รอบตัวซึ่งเขาอา จได้ใช้ประโยชน์ในวันหนึ่ง
ครอบครัวที่เพิกเฉยเบื่อหน่ ายต่อการตอบคำถามของลูกจะเส ียเปรียบครอบครัวที่กระตือร ือล้นค้นคว้าหาคำตอบมาให้ลู กค่ะ หลายครั้งที่เด็กสองคนมีต้น ทุนชีวิตที่ไม่ต่างกันเลยแต ่กลับมีศักยภาพที่ต่างกัน เพราะ ความใส่ใจของพ่อแม่ต่างกันค ่ะ
ครอบครัวที่เพิกเฉยเบื่อหน่
16.หลีกเลี่ยงการใช้สื่ออนไลน์
ภาพ แสง สี เสียงของสื่อ Online และ Digital ที่ล้อมรอบสังคมโลกทุกวันนี ้เป็นสิ่งเร้าที่มีระดับเกิ นธรรมชาติ เมื่อลูกได้รับภาพ แสง สี เสียง เหล่านี้มากๆจนเคยชิน จะทำให้วงจรสมองส่วนพึงพอใจ (Brain Reward Circuit) มีระดับสูงเกินปกติ เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ส ิ่งเร้าเป็นไปตามปกติจึงไม่ สามารถตอบสนองความพึงพอใจได ้มากพอ เพราะ สารเคมีในสมองส่วนพึงพอใจได ้เปลี่ยนการทำงานของสมองส่ว นนี้ไปแล้ว กระบวนการชีวเคมีในสมองของเด็กที่เสพย์สื่อ Online และ Digital จนเกินพอดีนั้นเป็นไปในแนวท างเดียวกับการเสพย์สารเสพติ ด ทำให้เด็กจดจ่ออยู่กับกิจกร รมในชีวิตประจำวันได้ไม่นาน อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และมีความพร่องด้านการใช้ภา ษา เพราะ อยู่กับการสื่อสารทางเดียว
พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ส ื่อ Online และ Digital เมื่ออยู่กับลูกเพื่อใช้เวล าคุณภาพร่วมกันในครอบครัวอย ่างแท้จริง และเป็นแบบอย่างในการใช้สื่ อเหล่านี้เมื่อจำเป็นเท่านั ้นค่ะ
พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ส
17.หลีกเลี่ยงการทำโทษด้วยอารมณ์
เมื่อลูกทำผิดจนถึงขั้นต้อง ลงโทษ พ่อแม่ควรสื่อสารให้ลูกรู้ว ่า พ่อแม่ไม่ชอบพฤติกรรมลูกเท่ านั้นไม่ใช่ไม่ชอบตัวลูก และมีการอธิบายเหตุผลการลงโ ทษ ไม่ควรทำโทษลูกอย่างทารุณกร รม
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก ับคนอื่นในสังคมนั้นต้องเกิ ดจากการที่เด็กเรียนรู้การส ร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอ บครัวก่อน ถ้าแม้แต่ในครอบครัวยังไม่ส ามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ด ีด้วยกันได้ เด็กก็จะสร้างความสัมพันธ์ท ี่ดีกับผู้อื่นได้ยาก และเด็กที่โดนทารุณกรรมทางกายย่ อมกระทบถึงใจ เขามีโอกาสที่จะปฏิบัติกับผ ู้อื่นในแนวทางเดียวกับที่เ ขาได้รับการปฏิบัติมา ถ้าครอบครัวปฏิบัติอย่างให้ เกียรติเขา เขาจะปฏิบัติอย่างให้เกียรต ิกับผู้อื่นเช่นกัน
ในแง่การทำงานของสมองนั้น การเติบโตมาในครอบครัวที่ใช ้อารมณ์มากกว่าเหตุผลจะทำให ้สมองทำงานช้าลง คิดไม่คล่องแคล่ว ขาดความภาคภูมิใจ และนับถือตนเอง
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก
ในแง่การทำงานของสมองนั้น การเติบโตมาในครอบครัวที่ใช
18.สร้างบรรยากาศในครอบครัว
ความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อกับ แม่ทำให้ลูกรู้สึกมั่นคง ปลอดภัยทางจิตใจ ไม่รู้สึกหวาดหวั่นว่าพ่อแม ่จะหย่าร้างหรือต้องแยกจากพ ี่น้องคนอื่นๆเพื่อเลือกว่า จะอยู่กับใคร
ในครอบครัวที่มีปัญหากัน ลูกย่อมรู้สึกเศร้าทำให้สมอ งทำงานได้ช้าลง ไม่พร้อมที่จะเปิดใจรับสิ่ง ใหม่ๆ ที่ส่งผลในระยะยาวต่อไป คือ ลูกมีโอกาสหวาดหวั่นในชีวิต สมรสของตัวเองต่อไปในอนาคตว ่าจะประสบพบเจอเหมือนกับที่ พ่อแม่เคยเป็นมาหรือไม่
พ่อแม่จึงควรรักษาความสัมพั นธ์ให้ดีอยู่เสมอ หากมีข้อขัดแย้งกันควรพูดคุ ยกันปัญหาต่างๆเป็นการส่วนต ัว ลูกรับรู้อารมณ์ของพ่อแม่เส มอตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เขารู้ว่าตอนนี้บรรยากาศรอบ ตัวกำลังสุขหรือทุกข์ การสร้างบรรยากาศในครอบครัว ให้สงบสุขจึงมีอิทธิพลต่อสุ ขภาพจิตของลูกมาก
ในครอบครัวที่มีปัญหากัน ลูกย่อมรู้สึกเศร้าทำให้สมอ
พ่อแม่จึงควรรักษาความสัมพั
19.พูดคุยถึงอารมณ์และความรู้สึก
เด็กจะมีอารมณ์สงบก่อนนอนหล ับนับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาท ี่พ่อแม่น่าจะใช้พูดคุยกับล ูกเกี่ยวกับความรู้สึกว่ารั กเขามากเพียงใด และพ่อแม่จะอยู่ตรงนี้ไม่ว่ าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน ลูกอาจเปิดใจเล่าความไม่สบา ยใจหรือถามคำถามที่ติดค้างใ นใจ พ่อแม่มีโอกาสได้ตอบ ได้อธิบายในข้อสงสัยนั้น ทำให้เด็กเกิดความมั่นคง ปลอดภัยทางจิตใจ สบายใจ และมีความสุขค่ะ
20.กอดหอมชดเชย
เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิ่ งดีๆในตัวเอง เขารักคนที่เลี้ยงดูใกล้ชิด เขา และอยากให้ตนเองเป็นที่รักข องคนรอบข้างด้วย การแสดงออกว่าเรารักลูกด้วย การกอด หอม และชมเชยอย่างสมเหตุสมผลจะท ำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจใ นตัวเอง ลูกจะเชื่อว่าเขาทำได้ทุกอย ่าง จะดีหรือไม่ดีเท่ากับใครนั้ นก็ไม่สำคัญว่าเขาได้ทำดีที ่สุดแล้ว ประโยคที่พ่อแม่ควรพูดกับลู ก คือ “หนูเก่งกว่าที่หนูคิด” และ “หนูสามารถทำได้ดีกว่าที่หน ูทำอยู่”
บอกลูกนะคะว่า “ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรคุณ ก็จะรักเขาอย่างที่เขาเป็น” ลูกรักพ่อแม่ที่สุด แต่บางทีเขาก็สงสัยค่ะว่า พ่อแม่รักเขาที่สุดหรือไม่ ช่วยยืนยันกับลูกหน่อยนะคะ
บอกลูกนะคะว่า “ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรคุณ
20 วิธีที่แนะนำมานี้ไม ่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เงินจำ นวนมากมายเลยนะคะ สรุปสั้นๆได้ว่าคุณสามารถช่ วยให้สมองของลูกทำงานอย่างเ ต็มศักยภาพได้ ใช้เวลาคุณภาพกับลูก
เวลาคุณภาพนี้ใช้เวลาเพียง 20 - 30 นาทีต่อวันก็เพียงพอให้สมอง
ที่มา : https://www.facebook.com/PlayAcademyTH/